My Friends

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อินเทอร์เน็ต




อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ

ที่มา
อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน


จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

สัดส่วนการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแยกตามทวีป, ที่มา: http://www.internetworldstats.com/stats.htmปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 1.733 พันล้านคน หรือ 25.6 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน กันยายน 2552) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 42.6 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 360 ล้านคน

หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 74.2 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.4 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 52.0 % ตามลำดับ




จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200 คน) ปี 2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000 คน) ... ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 จากจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 59.97 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 28.2 และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.2 [2]

[แก้] อินเทอร์เน็ตแบนด์วิท (INTERNET BANDWIDTH)
ปัจจุบัน (มกราคม 2553) ประเทศไทยมี Internet Bandwidth ในประเทศ 110 Gbps และ International Internet Bandwidth 110 Gbps



6 ภัยร้ายจากอินเทอร์เน็ต




“ภัยใกล้ตัว” ที่คนใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำหรือพ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานใช้อินเทอร์เน็ต ควรที่จะรู้ถึงภัยอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้อินเทอร์เน็ตไว้ เพื่อจะได้ระมัดระวังตัวและคอยตักเตือนบุตรหลานไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีซึ่งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือหากิน
ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการรวบรวม “ภัยใกล้ตัว” ที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตและสร้างความเสียหายต่อคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยังขาดวิจารณญาณในการตัดสินใจไว้หลายประเภท
ประเภทแรก ที่มีการร้องเรียนมากที่สุดคือการถูกหลอกลวง เพราะมิจฉาชีพส่วนใหญ่จะเข้าใจและรู้ว่าคนส่วนมากต้องการได้ของ ”ถูกและของดี” ซึ่งปัญหาที่พบมากที่สุดคือการหลอกซื้อโทรศัพท์มือถือ ยาลดความอ้วน
ประเภทที่สอง เสนอการทำงานนอกเวลาโดยใช้เว็บบอร์ดส่งข้อความง่ายๆ แต่สามารถกระตุ้น “ความอยาก” ได้ไม่ยาก เช่น มีงานนอกเวลารายได้ดี แต่เมื่อมีการติดต่อไปส่วนใหญ่จะกลายเป็นทำธุรกิจแบบ “แชร์ลูกโซ่ “ คือจะต้องหาสมาชิกเพิ่มตามจำนวนที่กำหนดจึงจะได้เงินตามประกาศ บางรายอาจเสียทั้งเงินและเวลา
ประเภทที่สาม การหลอกขายอุปกรณ์ ยา ซึ่งกรณีนี้มีข่าวในช่วงปีใหม่ว่ามียาสลบ ยานอนหลับ ยาปลุกเซ็กซ์ ขายพร้อมแนะนำวิธีการใช้ เช่น แบบเม็ด ทานได้เลยหรือนำไปบดให้ละเอียดแล้วใส่แก้วผสมเครื่องดื่มอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำเปล่าถ้าจะให้ได้ผลเร็วขึ้น จะทำให้หลับหรือหมดสติประมาณ 3 – 5 ชม. ครับ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรสชาติ ขายราคาเม็ดละ 600 บาท รับประกันคุณภาพ 100% เหลือแค่ 5 เม็ดสุดท้าย ใกล้ปีใหม่ขายดีครับ ดูตัวอย่างได้ตามรูปที่ให้เอาไว้ครับ แบบน้ำ แบบนี้เวลาใช้งานจะสะดวกกว่าแบบเม็ดครับเพราะไม่ต้องบด ไม่มีกลิ่นและรสชาติ ทำให้หลับได้นาน 6 - 10 ชม. 1 หลอดใช้ได้ประมาณ 3 – 5 ครั้ง ราคา 3,500 บาท เหลือ 2 หลอดสุดท้ายครับไม่ต้องจ่ายเงินก่อน หรือถ้าใน กทม. นัดเจอรับของกันได้เลยแต่ต้องคุยกันก่อนนะ ให้เบอร์ไว้ด้วยก็ดี จะติดต่อกลับโดยเร็วครับ
“กลุ่มนี้จะมีวิธีการสั่งซื้อทางอีเมลล์หรือสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์ โดยจะบอกขั้นตอนต่างๆ ไว้เรียบร้อยบางรายหลงเชื่อโอนเงินเรียบร้อยแต่ไม่ได้รับของ บางคนได้รับของแต่ไม่ใช่ชนิดที่โฆษณา”
ประเภทที่สี่ คนขายโทรศัพท์ โกงผู้ซื้อ โดยมีการเสนอขายโทรศัพท์มือถือราคาถูก ซึ่งอาจอ้างว่าประมูลได้จากกรมศุลกากร ในเว็บบอร์ด ของเว็บไซต์ชั้นนำต่างๆ ลูกค้ามักหลงเชื่อ เพราะมีเบอร์โทรติดต่อได้ และมีเลขบัญชีธนาคาร หากใครสนใจโทรคุยกัน แล้วส่งเงินเข้าบัญชีก่อน 25 – 30% หลังจากนั้นเชิดเงินหนี เมื่อมีการแจ้งความปรากฏว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้เป็นแบบเติมเงินซึ่งไม่ต้องระบุชื่อบุคคล ส่วนบัญชีธนาคารจะแอบนำสำเนาบัตรประชาชนของคนอื่นเปิดบัญชี ซึ่งคดีในลักษณะนี้มีเป็นจำนวนมาก
ปัญหาประเภทที่ห้า คือการละเมิดลิขสิทธิ์ มีการ Copy เว็บไซต์ผู้อื่นทั้งเว็บเปลี่ยนแต่เพียงชื่อเว็บและหมายเลขโทรศัพท์ นอกจากนั้นยังเขียนในเว็บบอร์ด ว่าตัวเองถูก Copy ต่างฝ่ายต่างใช้เวทีนี้เขียนว่ากันบางครั้งเลยเถิดไปกระทบถึงการดำรงชีวิตทำให้ต้องเสียชื่อเสียง
ประเภทที่หก หลอกให้คนเล่นเน็ตใช้ชั่วโมงของตัวเองแล้วเข้าแจ้งความ เมื่อมีการติดตามก็ได้รายชื่อที่ได้ไปกรรโชกทรัพย์ของพ่อแม่เด็กต่อ
“พวกนี้ใช้ผมเป็นเครื่องมือ ด้วยการมาแจ้งความกับผมว่า ได้ซื้อบัญชีชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตมา 10,000 บาท แต่ได้ถูกคนอื่นเอาไปใช้จนหมด ผมตรวจสอบพบว่ามีคนเขียนรหัสลับและเลขประจำผู้ใช้ไปเขียนไว้ในเว็บบอร์ดว่ามีชั่วโมงอินเตอร์เน็ตใช้ฟรี เด็กๆ ที่หลงเชื่อก็ใช้กันเพลิน ซึ่งคนที่ใช้ชั่วโมงฟรีมีถึง 20 ราย และผมสอบถามกับเด็กๆ ปรากฏว่าคนที่มาแจ้งความกับผมเอาข้อมูลที่ผมสืบมานั้นไปสืบดูฐานะทางบ้าน ถ้าบ้านไหนฐานะดีก็จะใช้วิธีทั้งปลอบทั้งขู่เรียกเงินจากพ่อแม่ซึ่งพ่อแม่เด็กเห็นว่าลูกตัวเองไปแอบใช้ของเขาจริงๆ ก็ยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับอนาคตของลูก ผมมารู้ทีหลังว่าเจ้าทุกข์ที่แอบใช้ผมเป็นเครื่องมือนี้ได้เงินไปกว่า 50,000 บาท ทุกวันนี้ผมยังเจ็บใจไม่หายเลย”

แหล่งข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์คอลัมน์ ปริทรรศน์ ฉบับวันที่ 2–8 กุมภาพันธ์ 2547
เรียบเรียงโดย สมภาร ปะกิ่ง E-mail: parn@fpmconsultana.com



อ้างอิง
1.^ http://www.manager.co.th/Telecom/ViewNews.aspx?NewsID=9500000067518
2.^ สำนักงานสถิติแห่งชาติ/ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
3.^ [1] ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีป้องกันตัว แบบง่ายๆ (สำหรับผู้หญิง)




วิธีป้องกันตัว แบบง่ายๆ (สำหรับผู้หญิง)

รู้ไว้ใช่ว่านะคะ ลองอ่านและศึกษาดูค่ะ

1.เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด ข้อศอกเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย หากถูกทำร้ายหรือกำลังจะถูกทำร้าย และคุณอยู่ในระยะที่ใกล้พอ จงใช้ข้อศอกให้เป็นประโยชน์ (ถองกบาลหรือกกหูมันแรงๆ)

2.หากถูกโจรจี้ และขอกระเป๋าถือหรือกระเป๋าสตางค์ อย่ายื่นกระเป๋าให้โจร แต่ให้เขวี้ยงกระเป๋าไปไกลๆ เพราะเป็นไปได้ว่า เจ้าโจรนั่นอาจสนใจเงิน หรือข้าวของในกระเป๋ามากกว่าตัวคุณ มันจะวิ่งไปคว้ากระเป๋าที่คุณโยนออกไป ทีนี้ก็จงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปในทิศทางตรงกันข้าม

3.ถ้าถูกจับขังในฝากระโปรงท้ายรถ พยายามทุบให้ไฟท้ายรถหลุดออก จากนั้นยื่นแขนออกมาจากรูโหว่แล้วโบกสุดฤทธิ์ คนขับมองไม่เห็นคุณ แต่รับรองชาวบ้านเห็นแน่ๆ วิธีนี้ช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว

4.อย่านั่งแช่ในรถ สาวๆ ทั้งหลาย เมื่อเสร็จภารกิจช้อปปิ้ง กินข้าว เลิกงาน ฯลฯ ก้าวขึ้นรถแล้วก็มักจะนั่งแช่ ทำอะไรต่อมิอะไรกระจุกกระจิก เป็นต้นว่า ดูสมุดบัญชี จดลิสต์รายการข้าวของ หรือเรื่องที่จะต้องทำ หรืออื่นๆ

5.ควรใช้ลิฟต์แทนการขึ้นลงทางบันได บันไดเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดถ้าอยู่คนเดียว รวมทั้งเป็นจุดที่เกิดอาชญากรรมได้ดีที่สุด

6.หากผู้ร้ายมีปืน และคุณยังไม่ได้ถูกจี้ วิ่งหนี โอกาสที่มันจะยิงโดนคุณมีเพียง 4 ใน 100 ครั้งเท่านั้น (เป้าเคลื่อนที่) และถึงจะยิงโดน ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ถูกอวัยวะสำคัญ เพราะงั้นวิ่งลูกเดียว

7.ผู้หญิงมักใจอ่อน ขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจ ไม่ต้องเลย เพราะอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หรือฆาตกรรมได้ กรณีนี้มีตัวอย่างมาแล้ว ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในอเมริกาชื่อ เท็ด เบินดี้ม เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีการศึกษา มักใช้กลวิธีเรียกร้องความ สงสารจากเหยื่อ

ก่อนที่จะขอให้คนอื่นช่วย ช่วยตัวเองให้เต็มที่ก่อนนะคะ :)

ถ้ามีคนเคยลงแล้วหรือซ้ำกับใครก็ขอโทดด้วยนะค่ะ



เครดิต http://www.sakid.com/2007/05/30/6335/

การประดิษฐ์กระถางต้นไม้ "เดโคพาจ"




อุปกาณ์
1. กระถางต้นไม้
2. กระดาษห่อของขวัญหรือกระดาษสวยงามต่างๆ
3. สีอะครีลิค (ตามชอบ)
4. น้ำมัน sealer & varnish
5. ตัวลดความหนืด
6. รูปภาพตามต้องการ (รูปถ่าย, รูปจากนิตยสาร, หนังสือพิมพ์ หรือ กระดาษห่อของขวัญ)
7. กาว
8. กรรไกร, มีดตัด
9. พู่กันเบอร์เล็ก 1 อัน และเบอร์ใหญ่ 1 อัน
10. ภาชนะสำหรับใส่สีละน้ำมันเคลือบต่างๆ เช่น จานกระดาษ, พลาสติก
11. กระดาษที่รองด้วยพลาสติก (กระดาษห่อข้าวมันไก่)
12. แก้วสำหรับใส่น้ำเพื่อแช่พู่กันในระหว่างการทำงาน
13. ผ้าขนหนูผืนเล็กไว้คอยซับพู่กันก่อนลงสี หรือน้ำมันต่างๆ


วิธีทำ
1. เลือกกระถางต้นไม้ที่มีผิวเรียบ หรือหากมีรอยขรุขระเล็กน้อยก็สามารถใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบขึ้นได้ มิเช่นนั้นเมื่อเวลาที่เพนท์ สีจะไปติดอยู่ตามรอยขรุขระนั้นทำให้ดูไม่สวยงาม เริ่มขั้นตอนแรกเตรียมทา sealer & varnish เพื่อกันเชื้อราและเป็นการรองพื้นวัสดุ
2. ทา sealer & varnish โดยทาตามยาวหนึ่งรอ
3. ปล่อยไว้ให้แห้งแล้วทาตามขวาง ทำซ้ำอีกอย่างละรอบ
4. นำสีพื้นที่ต้องการในปริมาณที่จะสามารถเคลือบพื้นวัสดุได้ทั่วมาผสมตัวลดความหนืด แล้วค่อยๆทาไปในทิศทางเดียวกันให้ทั่วทั้งพื้นผิว และลงสีเดิมซ้ำอีกรอบ
5. นำกระดาษห่อของขวัญที่มีรูปภาพต่าง ๆ ที่เราเลือกไว้ มาตัด
6. ตัดให้เหลือเนื้อที่รอบรูปภาพพอสมควรดังรูปที่แสดง
7. เคลือบรูปภาพหรือกระดาษที่ต้องการจะนำมาตกแต่งด้วยน้ำมัน sealer & varnish หน้าและหลัง เคลือบด้านละสองรอบ โดยป้ายพู่กันแนวตั้งหนึ่งรอบ รอให้แห้งแล้วจึงป้ายพู่กันแนวนอนอีกหนึ่งรอบ
8. รอให้แห้งสนิทก่อนทำการตัด (การตัดรูปภาพให้ได้รูปทรงสวยงามนี้ ควรใช้มีดดังตัวอย่างจะช่วยให้การตัดกระดาษเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น)
9. ตัดรูปภาพที่เลือกไว้ให้เสร็จทั้งหมด โดยทำตามขั้นตอนที่ 7 - 8 แล้วนำมาเตรียมไว้
10. ทากาวลงบนรูปที่ตัดเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ในปริมาณแต่เพียงน้อย (กาวลาเท็กซ์ผสมน้ำเปล่า หรือน้ำต้มสุกในกรณีที่จะเก็บกาวไว้ใช้หลายๆครั้ง เพื่อที่กาวจะได้ไม่บูด ในอัตราส่วน 1:1)
11. นำรูปที่ทากาวแล้วไปติดลงบนวัสดุที่ต้องการจะตกแต่ง จัดวางได้ตามความพอใจ
12. ติดรูปเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ให้สวยงาม จะสวยไม่สวยก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ค่ะ
13. ใช้นิ้ว หรือปลายพู่กันค่อยๆกดรีดลงไปบนรูปไล่ฟองอากาศออกเพื่อความสวยงาม ปล่อยทิ้งไว้จนมั่นใจว่ารูปติดกับวัสดุแน่นและแห้งดีแล้ว มิฉะนั้นรูปจะไม่เรียบเมื่อทำการเคลือบด้วยน้ำมัน sealer & varnishในขั้นตอนสุดท้าย
14. ลงเคลือบผิววัสดุเพื่อความมันเงาด้วย sealer & varnish ให้ทั่วและทำซ้ำอย่างน้อย 3 - 4 รอบ (ยิ่งเคลือบมาก ผิวก็จะมันเงามากขึ้น)
15. เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็จะได้งานเดโคพาจ (decoupage) ที่สวยงามตามสไตล์ของคุณพร้อมที่จะนำไปมอบให้เป็นของขวัญให้ใครๆได้ และฝึกฝีมืออีกสักหน่อยก็สามารถนำไปวางขายได้เป็นรายได้เสริมที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ



http://www.archeep.com/invention/prd_jan_07.html

วิธีกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย




ยุงลายที่เป็นต้นเหตุไข้เลือดออกร้อยละ 95 เป็นยุงที่อยู่ในบ้านเรือน อีกร้อยละ 5
อยู่ตามบริเวณสวน โดยยุงตัวเมียมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 45 วัน หลังผสมพันธุ์แค่ครั้งเดียว สามารถวางไข่ตัวละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1,000-2,000 ฟอง การเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก
ถือเป็นงานที่ท้าทายการบริหารจัดการของผู้บริหารทุกระดับ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ความรู้ความเข้าใจ และขอความ
ร่วมมือประชาชนให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายเพื่อลดปริมาณยุงให้น้อยที่สุด ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็น
ฤดูกาลที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกสูงที่สุด


แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

ยุงลายในประเทศไทยที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ได้แก่ ยุงลายบ้าน
(Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus)
แหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลายทั้งสองชนิดแตกต่างกัน โดยลูกน้ำของยุงลายบ้านจะอยู่ในภาชนะขังน้ำชนิดต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่อยู่ภายในบ้าน และบริเวณรอบๆ บ้าน เช่น โอ่งน้ำดื่มน้ำใช้ บ่อซีเมนต์เก็บน้ำในห้องน้ำ ถ้วยหล่อขาตู้กับข้าวกันมด แจกัน ภาชนะเลี้ยงพลูด่าง จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า และเศษวัสดุต่างๆ ที่มีน้ำขัง เป็นต้น เมื่อปี ค.ศ. 2007 นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเครกเวนเตอร์ สามารถถอดรหัสพันธุกรรมของยุงลายบ้านได้เป็นผลสำเร็จ นับเป็นยุงชนิดที่สองในโลกที่ได้รับการศึกษาจีโนมอย่างสมบูรณ์ พบว่าสายพันธุกรรม
ประกอบไปด้วยเบสจำนวน 1.38 ล้านคู่ สร้างโปรตีนทั้งหมด 15,419 ชนิด
ลูกน้ำยุงลายสวนมักเพาะพันธุ์อยู่ในแหล่งธรรมชาติ เช่น โพรงไม้ โพรงหิน กระบอกไม้ไผ่ กาบใบพืชจำพวกกล้วย พลับพลึง หมาก ตลอดจนแหล่งเพาะพันธุ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น และอยู่บริเวณรอบๆ บ้านหรือ
ในสวน เช่น ยางรถยนต์เก่า รางน้ำฝนที่อุดตัน ถ้วยรองน้ำยางพาราที่ไม่ใช้แล้ว หรือแม้แต่แอ่งน้ำบนดิน ยุงลายสวนตัวเมียจะไม่วางไข่บนน้ำโดยตรงเหมือนยุงชนิดอื่นๆ และมีความสามารถในการกัดได้รวดเร็วมาก ส่วนใหญ่คนที่ถูกกัดจะตบไม่ทัน

การกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย

ปิดปากภาชนะเก็บน้ำด้วยผ้า ตาข่ายไนล่อน อะลูมิเนียม หรือวัสดุอื่นที่สามารถปิดปากภาชนะเก็บน้ำนั้นได้อย่างมิดชิด จนยุงไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้
หมั่นเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน ซึ่งเหมาะสำหรับภาชนะเล็กๆ ที่มีน้ำไม่มากนัก เช่น แจกันดอกไม้สด ทั้งที่เป็น
แจกันที่หิ้งบูชาพระ แจกันที่ศาลพระภูมิ หรือแจกันประดับตามโต๊ะ รวมทั้งภาชนะและขวดประเภทต่างๆ
ที่ใช้เลี้ยงต้นพลูด่าง ฯลฯ
ใส่ทรายในจานรองกระถางต้นไม้ ใส่ให้ลึกประมาณ 3 ใน 4 ของความลึกของจานกระถางต้นไม้นั้น เพื่อให้ทรายดูดซึมน้ำส่วนเกินจากการรดน้ำต้นไม้ไว้ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับกระถางต้นไม้ที่ใหญ่และหนัก ส่วนต้นไม้เล็กอาจใช้วิธีเทน้ำที่ขังอยู่ในจานรองกระถางต้นไม้ทิ้งไปทุก 7 วัน
การเก็บทำลายเศษวัสดุ เช่น ขวด ไห กระป๋อง ฯลฯ และยางรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้ หรือคลุมให้มิดชิดเพื่อไม่ให้รองรับน้ำได้
บริเวณที่ปลูกต้นไม้ หากมีต้นไม้เยอะๆ ก็ทำให้มียุงเยอะ เพราะยุงจะชอบเกาะพักอยู่ในที่มืดๆ อับๆ ควรแก้ไขให้ดูโปร่งตาขึ้น ถ้าเป็นต้นไม้ประดับในบริเวณบ้าน ก็ต้องคอยสังเกตุว่ารดน้ำมากไปจนมีน้ำขังอยู่ในจานรองกระถางหรือเปล่า พยายามเทน้ำทิ้งบ่อยๆ



www.aksorn.com/lib/detail_print....id%3D685

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี





ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหน





http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health14.htm

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การพูดในโอกาสต่างๆ

การพูดในโอกาสต่างๆ






การพูดในโอกาสต่างๆ

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


เมื่อวันที่ 26-27 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมากระผมได้มีโอกาสเป็นวิทยากรให้แก่ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลดงเจน จังหวัดพะเยา ในหัวข้อ “ การพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดต่อหน้าที่ชุมชน” ณ โรงเรียนดงเจนวิทยาคม จังหวัดพะเยา ในวันที่สองของการฝึกอบรมกระผมได้บรรยายในหัวข้อการพูดโอกาสต่างๆ เนื่องจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่เป็นผู้นำท้องถิ่น จึงมีโอกาสในการขึ้นพูดในโอกาสต่างๆมาก เช่น การพูดในงานมงคลสมรส การพูดในงานขึ้นบ้านใหม่ การพูดในงานคล้ายวันเกิด การพูดในงานศพ การพูดในงานต้อนรับสมาชิกใหม่และการพูดกล่าวแสดงความยินดี ฯลฯ


สิ่งสำคัญในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้ครับ

- ผู้พูดจะต้องรู้สถานการณ์และผู้ฟัง เช่น ถ้างานนั้นดำเนินไปด้วยความล่าช้า เราจำเป็นจะต้องพูดให้น้อยลง ทั้งๆที่เรามีอะไรต่างๆจะพูดมากมายก็ตาม โดยเฉพาะเลยเวลารับประทานอาหารไปนานแล้ว เพราะขนาด ก่องข้าวน้อยยังฆ่าแม่ได้เลย นับประสาอะไรกับผู้พูดที่ไม่ใช่ญาติมิตรกัน


- ต้องรู้ลำดับรายการผู้จะขึ้นพูดในโอกาสต่างๆ ต้องรู้ว่าลำดับของรายการต่างๆเป็นไปอย่างไรจะได้เตรียมตัวถูก ต้องรู้ว่ารายการอะไรก่อน รายการอะไรหลัง


- ต้องรู้จุดมุ่งหมายของงานนั้นๆ ว่าลักษณะของงานเป็นลักษณะงานที่บันเทิงสนุกครึกครื้น


เฮฮา หรือ เป็นงานที่เศร้าโศกสลด เราจะได้พูดให้ถูกกาลเทศะ


สำหรับโอกาสในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้


1.การกล่าวแนะนำ โดยมากเป็นการกล่าวแนะนำ ผู้ที่อภิปราย วิทยากร ผู้โต้วาที หรือผู้เข้าร่วมอบรมหรือประชุม สัมมนาในงานนั้นๆ เป็นการกล่าวแนะนำก็เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักและสนใจ “ตัวผู้พูด” และ “เรื่องที่จะพูด”


2.การกล่าวต้อนรับ เป็นการกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนหรือกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่


3.การกล่าวอวยพร ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวในโอกาสที่เป็นงานมงคล เช่น งานมงคลสมรสหรืองานแต่งงาน งานวันคล้ายวันเกิด(ไม่ใช่งานวันเกิด เพราะวันเกิดมีวันเดียว) งานขึ้นปีใหม่ งานฉลองการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งต่างๆ ฯลฯ


4.การกล่าวไว้อาลัย โดยมากเรามักคิดถึงแต่งานศพ แต่จริงๆแล้วการกล่าวไว้อาลัยมีหลายอย่าง เช่น ไว้อาลัยผู้ตาย ไว้อาลัยผู้ที่ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ หรือที่ทำงานใหม่และไว้อาลัยในงานโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เป็นต้น


สำหรับท้ายนี้กระผมมีตัวอย่างการกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส โดยผู้กล่าวเป็นแม่ของเจ้าบ่าวดังนี้

สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ชีวิตของความเป็นผู้หญิงทุกคนคงไม่แตกต่างจากดิฉัน คืออยากให้คนที่เรารักหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราได้มีความสุขและดิฉันก็ได้ปฏิบัติต่อครอบครัวของดิฉันเสมอมา ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดิฉันก็เชื่อว่าสุภาพสตรีที่นิสัยดีและน่ารักคนนี้ คือสะใภ้ของดิฉันจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีและรักลูกชายของดิฉันได้นานแสนนานตลอดไป ขอบคุณค่ะ

หรือ พ่อของเจ้าบ่าวกล่าวดังนี้

สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมขอเปรียบชีวิตของคนเราเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีความจริงใจเป็นรากแก้ว


มีความอดทนคือลำต้น มีความร่มเย็นคือร่มใบพร้อมทั้งความดีงามคือดอกผล จึงได้ชื่อว่า ต้นไม้แห่งความรัก


ความผูกพันและกระผมเชื่อว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวทั้งสองจะหมั่นดูแลรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เหมือนต้นไม้ดังกล่าวมา ส่วนครอบครัวของทั้งสองฝ่ายนั้นจะเป็นเม็ดฝนชโลมความชุ่มชื่นแด่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตลอดไป




ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานแต่งงานในวันนี้(โดย อ.ภูวดล ภูภัทรโยธิน )
http://www.oknation.net/blog/markandtony/2009/10/29/entry-2

เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ




เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของ ทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียรและความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความสามัคคี

เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักการและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ในขณะที่ แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบัติ ที่เป็นรูปธรรมเฉพาะในพื้นที่ที่เหมาะสม

ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐานกับแบบก้าวหน้า ได้ดั้งนี้

ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน เทียบได้กับทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ ต้องพึ่งน้ำฝนและประสบความเสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า มีที่ดินพอเพียงในการขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำ จะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว

อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม

ความพอเพียงในระดับชุมชนและระดับองค์กรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ธุรกิจต่าง ๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ

กล่าวคือ เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัวหรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง

ความพอเพียงในระดับประเทศ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจสร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย เป็นต้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพัฒนา หรือร่วมมือกันพัฒนา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงกลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงที่เชื่อมโยงกันด้วยหลัก ไม่เบียดเบียน แบ่งปัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในที่สุด